หลักการทำงานของ ไขควงลองไฟ หรือ ไขควงวัดไฟรั่ว

ที่มา w w w.pohchae.com/2023/08/11/screwdriver-measure-electric-leakage-how-work/
ไขควงลองไฟ หรือ ไขควงวัดไฟรั่ว ทำงานได้อย่างไร?
#ไขควงลองไฟ #ไขควงวัดไฟรั่ว #ทำงานได้อย่างไร

หลักการทำงานของไขควงวัดไฟคือการอาศัยร่างกายของผู้ใช้งานเป็นสื่อ นั่นคือการอาศัยค่าความต่างศักย์ของกระแสไฟฟ้า ที่ตามหลักแล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลจากจุดที่มีศักย์มากไปยังจุดที่มีศักย์น้อยกว่า เมื่อปลายไขควงวัดไฟสัมผัสกับตัวนำที่มีกระแสไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านตัวต้านทานเพื่อทำการจำกัดกระแสให้ลดลงจนอยู่ในระดับที่ไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้งาน จากนั้นจึงไหลผ่านไปยังหลอดนีออน ก่อนจะไหลต่อเนื่องไปยังร่างกายของผู้ใช้งานแล้วไหลลงพื้นเป็นอันครบวงจร ทำให้หลอดนีออนสว่างขึ้นมาได้..

และเป็นเหตุผลที่ระหว่างใช้งานไขควงวัดไฟต้องไม่ใส่รองเท้านั่นเอง

ภายในไขควงเช็คไฟประกอบไปด้วย ปลายไขควง, ตัวต้านทาน, หลอดนีออน,สปริง และจุดสัมผัสทำจากโลหะ

..ส่วนประกอบที่จำเป็นหรืออาจกล่าวได้ว่ามีแค่นี้ก็พอ นั้นก็คือตัวต้านทานสำหรับจำกัดกระแสไฟฟ้าและหลอดนีออนสำหรับแสดงสถานะเท่านั้น ส่วนสปริงนั้นเอาไว้ดันให้อุปกรณ์ที่บรรจุภายในแท่งไขควงแนบสนิทกันอยู่ตลอดเวลาหลักการของไขควงเช็คไฟนั้นอาศัยค่าความต่างศักย์ของกระแสไฟฟ้า นั่นก็คือกระแสไฟฟ้าจะไหลจากจุดที่มีศักย์มากไปยังที่ๆ มีศักย์น้อยกว่านั่นเอง โดยเมื่อปลายไขควงสัมผัสกับตัวนำที่มีกระแสไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านตัวต้านทานเพื่อทำการจำกัดกระแสให้ลดลงเหลือเพียง 0.1 ถึงประมาณ 0.2mA เท่านั้น ทำให้ไม่เกิดอันตรายกับผู้ใช้ แล้วจึงไหลผ่านไปยังหลอดนีออน (หลอดนีออนจะใช้กระแสไฟฟ้าเพียงเล็กน้อยก็สว่างแล้ว) ต่อไปยังร่างกายของผู้ใช้งานแล้วไหลลงพื้นเป็นอันครบวงจร ทำให้หลอดนีออนติดสว่างขึ้นมานั่นเอง

วิธีการใช้งาน

(1) ใช้มือจับบริเวณด้ามของไขควง (ส่วนที่เป็นฉนวนพลาสติก) ระวังอย่าให้มือสัมผัสโดนส่วนปลายของไขควงเด็ดขาด

(2) นำปลายไขควงแตะกับเต้ารับไฟฟ้าหรือบนโลหะที่ต้องการทดสอบ

(3) ใช้นิ้วมือแตะบนจุดสัมผัส (เป็นโลหะสีตะกั่ว) ที่ส่วนหัวของไคขวง หากหลอดนีออนติด แสดงว่าช่องนั้นมีกระแสไฟฟ้า หรือเป็นเส้นไลน์นั่นเอง

ข้อควรระวัง เมื่อใช้ไขควงลองไฟหรือไขควงวัดไฟ

1. ควรเลือกไขควงวัดไฟที่มีขนาดเหมาะสมกับชนิดของไฟฟ้า

2. นอกจากชนิดของไฟฟ้า ขนาดแรงดันของไฟฟ้าก็ต้องพอเหมาะ

3. การจับไขควงวัดไฟขณะใช้งาน ต้องระวังไม่ไปแตะบริเวณปลายไขควงส่วนที่เปลือยเด็ดขาด

4. การใช้ไขควงวัดไฟที่ถูกวิธี คือการนำปลายไขควงเช็คไฟไปแตะที่ตัวนำที่ต้องการทดสอบก่อน

5. ในกรณีที่ไขควงวัดไฟชำรุด ห้ามนำมาซ่อมใช้ใหม่เด็ดขาด.

โน๊ตบุ๊คช้ามาก อัพเกรดให้เร็วขึ้น ใส่ SSD แทนHDD. ไม่ต้องลงวินโดว์ใหม่ ..ไม่ยาก

โปรแกรมโคลน “Windows https://www.easeus.com/

Caddy Tray Adapter

ถาดใส่ SSD https://c.lazada.co.th/t/c.zkvS?url=h… https://c.lazada.co.th/t/c.zkvS?url=h… https://c.lazada.co.th/t/c.zkvS?url=h…

Harddisk กับ SSD (Solid State Drive )นั้นมีหน้าที่เดียวกันคือ เป็นหน่วยบันทึกข้อมูลสำหรับคอมพิวเตอร์ และมีข้อแตกต่างกันที่ SSD มีความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูลที่สูงกว่า Harddisk หลายเท่าตัว มีน้ำหนักเบา กินไฟน้อย ไม่มีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหว แต่มีอายุการใช้งานที่สั้นกว่าฮาร์ดดิสก์..

ขอบคุณ ยูทูป , https://www.google.com/..0%B8%97%E0%B8%99HDD&tbm=isch&source=lnms&sa=X&ved=2ahUKEwjgmNin9reAAxXvilYBHSCRC9AQ0pQJegQIDBAB&biw=1252&bih=582&dpr=1.09#imgrc=qm30-So7pOfRSM

NTFS กับ FAT 32 เลือกอะไรดี?

FAT32 และ NTFS คือรูปแบบที่อธิบายถึงวิธีการจัดเก็บข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ โดย FAT32 ได้รับการพัฒนามาจากตารางจัดเก็บไฟล์ (File Allocation Table) ซึ่งใช้กันมาตั้งแต่ระบบปฎิบัติการ DOS แล้ว ก่อนที่เราจะรู้จัก Windows เสียด้วยซ้ำ

รูปแบบการจัดเก็บไฟล์แบบ NTFS (New Technology File System ) ถ้าแปลตรงตัวก็คือ เป็นระบบไฟล์ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ ซึ่งพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้กับ Windows NT ไมโครซอฟท์แนะนำให้ยูสเซอร์เลือกใช้ NTFS ด้วยเหตุผลที่ว่า มันมีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยกว่า FAT32

คุณสามารถแปลงฮาร์ดดิสก์ให้ใช้ระบบไฟล์ NTFS ได้โดยคลิกปุ่ม Start > Program > Accessories > Command Prompt ในหน้าต่าง Command Prompt ที่ไดร์ฟ C: ให้คุณพิมพ์คำสั่งว่า convert C: /fs:ntfs กดปุ่ม Enter แค่นี้ระบบไฟล์ในฮาร์ดดิสก์ของคุณก็จะถูกแปลงเป็น NTFS แล้วครับ แต่อาจนานนิดครับ และควรสำรองข้อมูลไว้ด้วย.

OS รุ่นใหม่ๆ NTFS ดีกว่า
แต่ถ้าเกิดว่า เป็น WIN 95/98 ใช้FAT32 ดีกว่า

● FAT32 จะทำการเก็บ Single File ได้ไม่เกิน 4 GB /
    NTFS จะสามารถทำการเก็บไฟล์ได้มากกว่า 4GB อาทิเช่นเราเก็บไฟล์ .ISO , .MP4 ที่มีขนาดใหญ่ๆ

●    NTFS มีความเร็วในการอ่านและเขียนเร็วกว่า FAT32

●    FAT32 จะใช้ในกรณีที่มีการเก็บไฟล์ขนาดเล็กๆเช่นไฟล์เพลง ใน USB, Memory Card โดย ทำ USB FAT32 เอาไว้เสียบในรถยนต์เพื่อฟังเพลง ( แต่ถ้ามีหนังก็ต้องเป็น NTFS ) และถ้าเป็น NTFS จะเอาไว้เก็บไฟล์ต่างๆจำนวนเยอะๆหรือมีขนาดเยอะๆ โดยอาจจะเป็น External Harddisk

●    NTFS มีการจัดการเรื่อง DISK ได้ดีกว่า FAT32 ในประสิทธิภาพการใช้งานของพื้นที่จัดเก็บ

สรุป NTFS (New Technology File System):

    NTFS เป็นระบบไฟล์ที่พัฒนาโดย Microsoft เพื่อใช้กับระบบปฏิบัติการ Windows NT และรุ่นต่อไป
    มีความสามารถในการจัดการและควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงไฟล์และโฟลเดอร์อย่างละเอียด รวมถึงรองรับการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
    รองรับขนาดไฟล์ที่ใหญ่กว่า FAT32 และมีความเสถียรภาพที่ดีกว่า สามารถจัดเก็บข้อมูลได้มากกว่าและแบ่งพาร์ติชันได้เป็นจำนวนมาก
    มีความสามารถในการกู้คืนข้อมูลที่เสียหายหรือลบโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือเสริม

FAT32 (File Allocation Table 32):

    FAT32 เป็นระบบไฟล์ที่ใช้งานกับระบบปฏิบัติการ Windows ในรุ่นก่อน Windows XP
    มีโครงสร้างตารางการจัดสรรไฟล์ (File Allocation Table) ที่ใช้ในการติดตามและจัดสรรพื้นที่หน่วยความจำ

    สนับสนุนขนาดไฟล์ที่มีข้อจำกัด สูงสุดถึง 4GB และขนาดพาร์ติชันที่จำกัดให้มีข้อจำกัดที่ 2TB
    มีความเสถียรภาพที่พอสมควร แต่ไม่มีความสามารถในการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงไฟล์และโฟลเดอร์อย่างละเอียดเหมือนกับ NTFS
    มีความสะดวกในการใช้งานกับอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแบบพกพา เช่น USB และบัตร SD

NTFS และ FAT32 เป็นระบบไฟล์ที่มีความแตกต่างกันในด้านความสามารถในการจัดการข้อมูล รองรับขนาดไฟล์ และความเสถียรภาพ อย่างไรก็ตาม การเลือกระบบไฟล์ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับการใช้งานและความต้องการของคุณเอง หากคุณต้องการความปลอดภัยและความสามารถในการจัดการข้อมูลที่มากกว่า แนะนำให้ใช้ NTFS ในขณะที่ FAT32 เหมาะสมสำหรับการใช้งานในอุปกรณ์พกพาหรืออุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรภาพมากกว่าความสามารถในการจัดการข้อมูล.

ที่มา https://www.ubmthai.com/leksoundsmf3/index.php/topic,3144

ต่อไปมือถืออาจตกยุค..Apple เปิดตัวแว่นVision Pro ที่ผสานโลกจริง กับโลกเสมือน

Apple เข้าสู่ตลาดเทคโนโลยี AR, VR ด้วยการเปิดตัว Vision Pro
ในงาน WWDC ที่ความคล้ายแว่นตาเล่นสกี
สิ่งที่ทำให้ Vision Pro โดดเด่นคือ ตัวกระจกแว่นมีความโปร่งใส
และเราสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมภายนอกได้ไปพร้อมกับ
การที่เราใช้งานแว่นอยู่ และที่สำคัญ
คือราคา 3,499 ดอลลาร์ หรือราว 125,000 บาท

ภายในงานเป็นการเปิดตัว Vision Pro
ผู้เข้าร่วมงานไม่ได้มีโอกาสได้จับได้ลองใช้ แต่ดูจากลักษณะ
นอกจากที่ความคล้ายแว่นเล่นสกีแล้ว
ตัวแว่นเป็นสีขาวซิลเวอร์ ตัวเลนส์ เป็นแม่เหล็ก
เกาะติดกับที่สวมใส่ได้ มีวัสดุรับกระแทกตรงเบ้าตาและหลังศีรษะ
พร้อมต่อสายเชื่อมกับแบตเตอรี่ที่มีขนาดเท่าพาวเวอร์แบงก์
และมีกำลังใช้งาน 2 ชั่วโมง สามารถใส่แบตเตอรี่
ในกระเป๋ากางเกงระหว่างเล่น Vision Pro ได้

เลนส์ 3D ที่กระจกตา ความละเอียด 23 ล้านพิกเซล
และเทคโนโลยี HDR ช่วยให้การเล่นภาพมีความสมจริง
] และกล้อง IR ที่อยู่ตรงกระจกด้านใน จับดวงตาของเรา
ในขณะที่กล้องที่หันลงด้านนอกของตัวเครื่องจะติดตามมือของเรา
เซนเซอร์ชุดที่สามคือเซนเซอร์ Lidar ตรวจจับวัตถุรอบๆ

โดยรวมแล้ว เซนเซอร์ทั้งหมดของ Vision Pro มี 23 ตัว
ซึ่งรวมถึงกล้อง 12 ตัว เซนเซอร์ 5 ตัว และไมโครโฟน 6 ตัว

อีกจุดขายสำคัญของ Vision Pro คือ Spatial audio
หรือระบบเสียงรอบทิศทาง
ซึ่งถ้าใครเคยใช้งาน Apple Music จะคุ้นเคยดี

Vision Pro ยังมาพร้อมระบบปฏิบัติการตัวใหม่คือ VisionOS
และชิปใหม่ R1 ที่ออกแบบเพื่อ Vision Pro หรือฮาร์ดแวร์แว่นอื่นๆ
ในอนาคตโดยเฉพาะ เป็นชิปทำหน้าที่ด้านงานภาพ
ส่วนชิปหลักยังเป็นหน้าที่ของ M2 ชิปที่ Apple ออกแบบมาก่อนหน้านี้

VisionOS คือระบบที่ช่วยปรับแต่งภาพที่แสดงในแว่น
ปรับขนาดได้ว่าอยากให้อยู่ในระดับไหนผ่านปุ่มที่ติดตั้งมากับเครื่อง
เมื่อผสานกับพลังของ Vision Pro ทาง Apple
บอกว่าเราสามารถเปลี่ยนพื้นที่ใดๆ
ให้เป็นโรงภาพยนตร์ส่วนตัวด้วยหน้าจอที่กว้าง 100 ฟุต
ระบบเสียงรอบทิศทางขั้นสูง ดูภาพยนตร์และรายการทีวี
ภาพยนตร์สามมิติได้ผ่านแว่น

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นการเปิดตัว Vision Pro ในเชิงคอนเซปต์
จึงยังไม่มีบล็อกเกอร์คนไหนได้จับหรือลองใช้อย่างจริงจัง
และ Apple กว่าจะขายก็ปีหน้า ระหว่างทางคาดว่า Apple จะพัฒนา
และเพิ่มแอปพลิเคชั่นใหม่ๆ เพิ่มเติมเข้าไปให้ใช้งานแอปได้เยอะขึ้น

Tim Cook ซีอีโอ Apple บอกด้วยว่า
ตอนนี้เข้าสู่ยุคใหม่ของการประมวลผลแล้ว
เช่นเดียวกับที่ Mac แนะนำให้เรารู้จักคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
และ iPhone แนะนำให้เรารู้จักคอมพิวเตอร์พกพา Apple Vision Pro
ก็แนะนำให้เรารู้จักคอมพิวเตอร์แบบ spatial
(การประมวลผลผสานโลกจริงโลกเสมือน)
ซึ่ง Vision Pro สร้างขึ้นจากนวัตกรรมของ Apple
ที่นำหน้าไปหลายทศวรรษ ปลดล็อกประสบการณ์ใหม่
สำหรับผู้ใช้และโอกาสใหม่สำหรับนักพัฒนาของเรา”

ที่มา https://www.ubmthai.com/leksoundsmf3/index.php/topic,100996

แบตเตอรี่แรงโน้มถ่วง ใช้อิฐหนัก 24 ตัน เป็นตัวเก็บไฟฟ้าในจีน ทั้งตึกผลิตไฟฟ้าได้25 ล้านวัตต์/ช.ม.

บริษัท เอเนอร์จี้ วอลต์ (Energy Vault) สตาร์ตอัปด้านพลังงานจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศโครงการก่อสร้างแบตเตอรี่แรงโน้มถ่วง (Gravity Battery) หรือที่กักเก็บพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียนด้วยแรงโน้มถ่วงแทนที่สารเคมี ในรูปแบบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ต้องใช้อิฐหนัก 24 ตัน เป็นตัวเก็บไฟฟ้าในประเทศจีน..

แบตเตอรี่แรงโน้มถ่วง (Gravity Battery) ใช้หลักการเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังงานศักย์ (Potential Energy) หรือพลังงานเชิงกลที่สะสมไว้ซึ่งมีค่าเพิ่มขึ้นตามระดับความสูงวัดจากพื้นโลก มาประยุกต์ใช้กับการจัดเก็บพลังงานส่วนเกินที่ได้จากลมหรือแสงอาทิตย์โดยการผลักดันโครงสร้างวัตถุให้อยู่บนจุดสูงสุดของโครงสร้างนั้น..

และเมื่อต้องการใช้งาน ก็ปล่อยให้วัตถุนั้นตกลงมา การตกลงมาจะเปลี่ยนพลังงานศักย์ให้เป็นพลังงานจลน์ (Kinertic Energy) ที่แปลงกลับมาเป็นกระแสไฟฟ้าได้ด้วยการอาศัยแรงดังกล่าวดึงรอกปั่นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า

หรือโดยสรุปแล้ว แบตเตอรี่แรงโน้มถ่วงเป็นการเก็บไฟฟ้าในรูปของวัตถุที่มีน้ำหนัก แทนที่การเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางเคมีที่เกิดขึ้นในแบตเตอรี่รูปแบบเดิม โดยข้อดีสำคัญของแบตเตอรี่ชนิดนี้มีราคาที่ถูกมากเมื่อเทียบกับแบตเตอรี่แบบเดิมซึ่งมีขนาดการกักเก็บไฟฟ้าเท่ากัน เปิดทางไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าหลักเพราะมีที่กักเก็บต้นทุนต่ำลง

บริษัท เอเนอร์จี้ วอลต์ (Energy Vault) จะสร้างอาคารสูง 8 ชั้น ในเมืองหลูตรง (Rudong) มณฑลหนานทง ที่ภายในจะมีระบบจัดเก็บพลังงานไฟฟ้าจากก้อนอิฐ โดยก้อนอิฐแต่ละก้อนจะมีขนาดกว้าง 3.5 เมตร ยาว 2.7 เมตร และสูง 1.3 เมตร มีน้ำหนัก 24 ตัน

กระบวนการทั้งหมดจะเริ่มจากพลังงานไฟฟ้าส่วนเกินที่ได้จากแหล่งพลังงานหมุนเวียนจะจ่ายไฟให้ลิฟต์ยกก้อนอิฐไปเก็บไว้ และเมื่อต้องการใช้ไฟฟ้าในเวลาที่ต้องการ ระบบจะปล่อยก้อนอิฐให้ตกลงตามแรงโน้มถ่วงจากตึกชั้นที่ 8 สร้างความเร็ว 6.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งแปลงให้เป็นไฟฟ้าได้ประมาณ 1 เมกะวัตต์ (MW) คิดเป็น 80% ของพลังงานที่กักเก็บไว้ โดยจะมีกำลังการผลิตรวมทั้งหมด 25 เมกะวัตต์ (MW)

โครงการดังกล่าวคาดว่าจะเป็นทางเลือกสำคัญในการจัดเก็บพลังงานไฟฟ้าในอนาคต ทั้งนี้ บริษัท เอเนอร์จี้ วอลต์ (Energy Vault) ต้องแบกรับภาระขาดทุนกว่า 78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 2,700 ล้านบาท ในปี 2022 และเสียความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนจนมูลค่าหุ้นตกลงกว่า 90% เหลือประมาณ 1.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น จากที่เคยมีมูลค่าสูงถึงหุ้นละ 18.32 ดอลลาร์สหรัฐ ในปีที่ผ่านมา แต่บริษัทยังคงเชื่อมั่นในแนวทางธุรกิจและกำลังก่อสร้างโครงการเดียวกันนี้ในประเทศเม็กซิโกอีกด้วย

ที่มาข้อมูล cnet

ที่มารูปภาพ Energy Vault

สาวสวยพยากรณ์อากาศ อึ๋มแทบล้นจากจอ คนแห่ถาม..ที่แท้สร้างด้วยAI

ไวรัลในโลกออนไลน์ หลังมีคนนำภาพมาโพสต์ในทวิตเตอร์ เป็นภาพที่คล้ายกับรายการพยากรณ์อากาศรายการหนึ่งของญี่ปุ่น มีพิธีกรเป็นสาวสวยหน้าตาดีหลายคน สวมชุดที่เว้าคอลึกอวดสัดส่วนกระแทกตา จนทำเอาโฟกัสสภาพอากาศไม่ถูกเลย..

คนที่ได้เห็นภาพ โดยเฉพาะหนุ่มๆ แดนอาทิตย์อุทัย ต่างเข้ามาสอบถามว่า รายการใหม่หรือเปล่า จะออกอากาศทางช่องไหน เพราะจะไปตามดู ติดตามสภาพอากาศทุกวันแน่นอน..

แต่ในที่สุดผู้โพสต์ก็ออกมาเฉลยว่า ภาพทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นภาพจริง แต่เป็นภาพที่ใช้ AI สร้างขึ้นมา ซึ่งมันแนบเนียนซะจนแยกแทบไม่ออกแล้ว

งานนี้ทำเอาหลายคนผิดหวังอย่างแรง และบางคนก็เซ็งสุดๆ ที่เข้าใจผิดว่าจะมีผู้ประกาศข่าวพยากรณ์อากาศที่สวยเซ็กซี่ขนาดนี้ให้ติดตาม.. cr:www.sanook.com/news/8840186

แผงโซล่าเซลล์ที่ดีที่สุด 20 อันดับแรก ปี2022

ปัจจุบันเราพบว่าแผงที่ดีที่สุด 20 อันดับแรก ล้วนแต่เป็นแผงที่มีประสิทธิภาพการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นไฟฟ้าได้มากกว่า 20% ขึ้นไปทั้งสิ้น.. ซึ่งเทคโนโลยีการจัดเรียงเซลล์แสงอาทิตย์ใหม่ๆ ที่ผู้ผลิตแผงโซล่าเซลล์นำมาใช้อย่างแพร่หลาย มีดังนี้..

  • IBC – Interdigitated Back Contact cells
  • HJT – Heterojunction cells
  • Gapless Cells – High-density cell construction
  • Multi Busbar – Multi ribbon and micro-wire busbars
  • Split cells – half-cut and 1/3 cut cells
  • Shingled Cells – Multiple overlapping cells

นวัตกรรมเหล่านี้ได้เพิ่มประสิทธิภาพ ลดการเสื่อมสภาพ และ ปรับปรุงความน่าเชื่อถือของแผงโซล่าเซลล์ ทำให้ผู้ผลิตส่วนใหญ่สามารถขยายระยะเวลาการรับประกันผลิตภัณท์ (Product warrantee) เป็น 25 ปี และ การรับประกันประสิทธิภาพ (Performance guarantee) เป็นเวลา 25-30 ปีได้

แผงโซล่าเซลล์ที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในปัจจุบัน (Q1/2022) 20 อันดับแรกได้แก่..

ขอบคุณ www.pohchae.com

ธนาคารออมสิน ปล่อยกู้หนุนคนไทยติดโซลาร์เซลล์

คุณสมบัติผู้กู้ :

  • สำหรับบุคคลธรรมดาอายุ 20 ปี 
  • เมื่อรวมอายุผู้กู้กับระยะเวลาชำระเงินกู้ต้องไม่เกิน 70 ปี

เงื่อนไข :

  • เพื่อติดตั้งหรือซื้ออุปกรณ์ที่ช่วยลดมลภาวะ เช่น โซลาร์เซลล์ ซื้อรถยนต์ไฮบริด/รถยนต์ไฟฟ้า(อีวี)/รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า/ติดตั้งจุดชาร์จอีวี เครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 ที่ช่วยประหยัดพลังงาน รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง
  • กรณีไม่มีหลักประกันให้กู้ไม่เกิน 10 เท่าของรายได้รวม สูงสุดไม่เกินรายละ 500,000 บาท ชำระเงินกู้ไม่เกิน 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ต่ำสุด 7.99% และเงินงวดผ่อนต่ำแสนละ 799 บาทต่อเดือน นาน 3 เดือนแรก
  • กรณีใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ได้แก่ บ้านพร้อมที่ดิน คอนโดมิเนียม ที่ดินเปล่า ให้กู้สูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท ผ่อนชำระไม่เกิน 30 ปี ดอกเบี้ยคงที่ต่ำสุด 1.99% และเงินงวดผ่อนต่ำแสนละ 199 บาทต่อเดือน นาน 3 เดือนแรก

ระยะเวลาปล่อยกู้ :

  • จนถึงวันที่ 30 ธ.ค. 2566 

อย่างไรก็ดี ธนาคารออมสินยังมีสินเชื่อ GSB for BCG Economy สนับสนุน ผู้ประกอบการเป็นเงินทุนหมุนเวียน ลงทุนในทรัพย์สิน ลงทุนด้านพลังงานทดแทน พลังงานจากก๊าซชีวภาพชีวมวล หรือรีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น

คุณสมบัติผู้กู้ :

  • เป็นนิติบุคคลไม่จำกัดวงเงินกู้ และบุคคลธรรมดาให้วงเงินกู้ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป

เงื่อนไข :

  • ใช้สมุดเงินฝากออมสิน สลากออมสินพิเศษ พันธบัตร ที่ดินและอาคาร โฉนดที่ดิน หรือคอนโดมิเนียมเป็นหลักประกัน
  • หรือให้ บสย. (บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) ร่วมค้ำประกันก็ได้
  • กู้เป็นสินเชื่อระยะสั้น (O/D), (P/N) และ/หรือสินเชื่อระยะยาว (L/T)
  • กรณีมีหลักประกันผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ดอกเบี้ยเริ่มต้น MOR/MLR -1.50% ต่อปี (ปัจจุบัน MOR 6.495% และ MLR 6.650%)